เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ ธ.ค. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

หัวใจมันถึงสำคัญ เวลาเห็นเด็กไหม เด็กเวลาเอาของมาให้พระมันก็ไม่รู้เรื่องนะ เด็กนี่ให้พระให้ทำไม เวลาโลกเขาคิดอย่างนั้นนะ นี่คนเหมือนกัน หลวงตาพูดประจำ เราอยู่กับหลวงตานะ ถ้าครูบาอาจารย์เราไม่ดีกว่าเรา เราจะไหว้ท่านทำไม เราไหว้ตัวเราเองดีกว่า เราก็เป็นคนนะ พระก็คนคนหนึ่ง เราก็คนคนหนึ่ง ทำไมคนต้องไหว้คนล่ะ ไหว้คนเพราะอะไร เพราะเขามีศีลธรรม เขามีศีล เขาประกาศตน

สมมติสงฆ์ สงฆ์โดยสมมตินะ เวลาเรื่องของฆราวาสมีความเสมอภาคไปทั้งหมด แต่เวลาเป็นผู้มีศีล ผู้เป็นพระ อย่างเช่นเรานี่ใครๆ ก็ติเตียนนะ ติเตียนตรงไหน ติเตียนว่าทำไมอารมณ์รุนแรงขนาดนั้น แสดงออกมันมีแต่ความรุ่นแรง

ความรุนแรง ใช่ ความรุนแรงถ้าพูดถึง เหมือนกับกระแสน้ำ เวลาน้ำเขื่อน เราเปิดเขื่อนมาสิ มันก็จะไหลแรงของมันทั้งนั้นแหละ ความรุนแรงอย่างนี้มันเป็นความรุนแรงของที่ว่าน้ำเปิดจากเขื่อนออกมา สิ่งต่างๆ แต่ถ้าความรุนแรงของกระทำ เห็นไหม ดูพายุ เวลาพายุมันปั่นป่วน มันพัดทำลายบ้านเรือน มันก็เป็นความปั่นป่วนเหมือนกัน มันทำลายเหมือนกัน อันนั้นมันเป็นพายุ มันมีแรงลมของมันแล้วมันทำลาย แต่เวลาเขื่อนมันปล่อยออกมา มันได้พลังงานไฟฟ้าด้วย มันได้การทำเกษตรกรรมด้วย

อันนี้ก็เหมือนกัน ความรุนแรงที่เห็นสภาวะแบบนั้น นี่คือผู้ที่มีศีล ผู้ทรงธรรมไง ถ้าผู้ทรงธรรมอันนี้มันจะเป็นประโยชน์ แต่โลกมันมองตรงนี้ไม่ออก ในเมื่อถ้าเรามองตรงนี้ไม่ออก มันก็เลยว่าสิ่งใดก็เป็นกิเลสทั้งหมด สิ่งใดก็เป็นกิเลสทั้งหมด...ใช่ มันเป็นกิเลสถ้าเรามีกิเลสอยู่

เวลาเราศึกษาปริยัติ คำว่า “ปริยัติ” ถ้าเราศึกษาเข้าไปแล้ว เขาบอกว่า เราอ่านหนังสือนะ เขาบอกเลย ในกลุ่มของเถรวาทนี่มีแต่การท่องจำ ในของมหายานเขามีการคิดนอกกรอบ การคิดนอกกรอบแล้วเขาคึกคะนอง เขาคึกคักในการใช้ปัญญาของเขา อย่างความคิดของอย่างวัตถุไง เพราะวัตถุเห็นสภาวะแบบนั้น

แต่ถ้าเป็นเถรวาท เราคิดถึงว่า นี่ปริยัติ ปริยัติคือกรอบของมันก่อน เราต้องมีกรอบ คือว่าเหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ เราจะคิดต่างๆ เราต้องมีทฤษฎีก่อน ในทฤษฏีในกฎของฟิสิกส์ต่างๆ เรารู้กฎแรงโน้มถ่วง เราจะรู้กฎของมัน แล้วเราต่อยอดของมันขึ้นไปไง นี่ปริยัติ คือการศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทฤษฎีแรงน้อมถ่วงต่างๆ เรื่องความโลกกลม โลกแบน ทฤษฎีของมันมีสภาวะแบบนั้น แล้วเราคำนวณ การคำนวณนี่เราเป็นปฏิบัติไง เวลาเราคำนวณ เราปฏิบัติ เราใคร่ครวญของเรา นี่ภาคปฏิบัติ

การปฏิบัติก็คือการใคร่ครวญ คือการคิดโดยการคิดเป็นทำเป็น ไม่ใช่การท่องจำ

ถ้าการท่องจำนะ เขาบอกเลยว่าสังคมของเถรวาทในเมืองไทย ในเขมร ในลาว ในพม่า สังคมเถรวาทมีแต่การท่องจำกัน แต่ในมหายาน ญี่ปุ่น จีนเจริญมาก เกาหลีใต้เจริญมาก ความเจริญของเขาว่านั่นคือความเจริญของเขาเพราะว่าอะไร เพราะเขาเป็นมหายาน สิ่งที่เป็นมหายาน มันเป็นอาจริยวาท การคิดไม่ติดในกรอบ ทิ้งกรอบเลย ทิ้งธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอาจริยวาทเป็นการคิดตามกันตามกันมา ความเห็นอย่างนั้น

แต่ในการปฏิบัตินะ ให้พระด้วยกันเขาศึกษา เห็นไหม สังเกตได้ไหมเวลาพระจากเมืองจีนมา พระจากไต้หวันมา มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสังฆราช เขาจะกราบด้วยความอะไร? เขาจะมีความละอายใจ เขาจะรู้ว่าเขาเป็นพระจริงหรือพระปลอมไง ถ้าเขาเป็นพระจริง มันต้องมีศีล ความประพฤติธรรมวินัยมันต้องมี เราถึงบอก คนต้องกราบคนเพราะอะไรล่ะ เพราะคนอีกฝ่ายหนึ่งดีกว่า เขาทำได้ดีกว่าเรา เขายับยั้งชั่งใจของเขาได้ เขาบังคับตัวของเขาเองได้ เขาระงับอารมณ์ของเขาได้ เขาทำของเขาได้

เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงปฏิญาณตนไงว่า เวลาท่านเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เราสิ้นกิเลส เราไม่เคยบอก เตือนปัญจวัคคีย์ เพราะปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดเวลา เพราะต้องการให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาทฤษฏี เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสอนปัญจวัคคีย์ แต่ขณะที่อยู่ด้วยกัน ๖ ปี พระพุทธเจ้าไม่ได้เคยสอนเลย

แต่เวลาจะไปสอน ที่ป่า ที่บอกว่าพระพุทธเจ้าบอกจะมา นี่ไม่ยอมรับไง เพราะว่าเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน้อมกลับไปฉันอาหารก่อน ถือว่าเป็นคนมักมาก แล้วจะมาสอนอะไรเรา ธรรมะจะเกิดอย่างนี้ได้อย่างไร ธรรมะต้องเป็นแบบว่าต้องพยายามกฎขี่เพื่อพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แล้วกลับไปมักมากจะได้ประโยชน์อะไร

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เธอเคยได้ยินไหมว่าเราเป็นพระอรหันต์ อยู่ด้วยกัน ๖ ปีไม่เคยพูดคำนี้เลยใช่ไหม ถ้าพูดคำนี้แล้วให้ลงใจแล้วให้ฟัง”

เห็นไหม ผู้ที่ใจที่มันสะอาดบริสุทธิ์ มันวิธีการของมันไง วิธีการที่ภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้นมา เวลาปัญญาเราเกิด ทุกคนจะคิดว่ามันเกิด เรามองเด็กๆ เราคิดเลยนะ เวลาเรามองเด็กๆ เด็กๆ ก็เป็นสภาวะแบบนั้น แล้วเรามองคฤหัสถ์ก็เหมือนเด็กๆ ไง ความคิดของคฤหัสถ์เป็นความคิดเด็กๆ ความคิดแบบวิทยาศาสตร์ ความคิดแบบวัตถุนิยม ความคิดแบบเรื่องของโลกเขา เขาจะคิดความคิดแบบนั้น แล้วเวลาเขาปล่อยความคิดของเขามา เวลาเขาใช้ความคิดของเขาใคร่ครวญความคิดของเขาแล้วเขาปล่อยวางทีหนึ่ง เขาจะมีความสุข เขาจะมีความร่มเย็นใจของเขาเพราะอะไร

เพราะเขาแบกภาระรุงรังเอาไว้มาก เวลาเขาปลดเบื้องภาระรุงรังเขาจะมีความสุข เขาคิดว่านั่นเป็นธรรมนะ เขาคิดว่านั่นเป็นธรรม เหมือนความคิดเด็กๆ เลย เรามองความคิดของคฤหัสถ์เป็นความคิดเด็กๆ จะมีความรู้ขนาดไหนก็เป็นความคิดเด็กๆ เพราะความคิดตามทฤษฏีอย่างนั้นมันไม่เกิดความคิดในตัวมันเอง ในการภาวนามยปัญญาคือภาคปฏิบัติที่แบบว่าต้องคิดนอกกรอบ ต้องคิดแบบไม่ท่องจำมา ต้องเป็นความเห็นของใจดวงนั้น ถ้าเป็นการท่องจำมานั้นมันก็เป็นการท่องจำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เขาบอกเถรวาทเป็นอย่างนั้นๆ อยู่ไง

เถรวาทเป็นอย่างนั้นอยู่ไง นี่เป็นเรื่องของกรอบ แต่เป็นเรื่องของใจที่คนรู้กัน เหมือนทหาร ทหารเขาจะยอมรับทหารที่ออกรบที่มีเชาวน์มีปัญญาที่สามารถทำลายข้าศึกได้ หมอจะยอมรับหมอที่ผ่าตัดได้ดีกว่า หมอที่มีปัญญามากกว่า หมอในการผ่าสมองในเมืองไทยมีกี่คน เห็นไหม การเปลี่ยนหัวใจ การเปลี่ยนไต คนที่ทำได้ ทีมงานที่ทำได้มีกี่คณะ หมอเขายังจำเลยว่านายแพทย์คนไหนที่สามารถเปลี่ยนไตได้ นายแพทย์คนไหนสามารถที่จะเปลี่ยนหัวใจได้ ในวงการพระก็เหมือนกัน ถ้าในวงการพระนี่พระเขาจะดูออกกัน

แต่ในเมื่อเป็นคฤหัสถ์ ความเห็นของเรา เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย นี่อาบัติ อาบัติหยาบของพระห้ามเอามาพูดให้ฆราวาสฟังเพราะอะไร เพราะจะแบ่งแยกออกไป ระยะห่างระหว่างบริษัทไง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ระยะห่างๆ ขนาดไหน ห่างเพื่อความเคารพ ถ้ามีความคลุกคลี มีความเคยชิน ความเคยชิน ถ้าความเคยชิน ความเคยชินกิเลสมันจะเจาะเข้าไปให้ตรงนั้น ถ้าเรามีความเคยชิน มีความนอนใจ มันจะเป็นไปไม่ได้ เราต้องตื่นตัวไง

เวลาครูบาอาจารย์ถึงบอก เวลาทำประพฤติปฏิบัติ แต่ความคิดเด็กๆ เขาบอก ทำไมต้องทำให้ตัวลำบากเปล่า...ไม่เป็นความลำบาก เวลากิเลสมันทำความเจ็บปวดในหัวใจ มันมีความลำบากมากกว่านั้น เวลาชีวิตของเราต้องพลัดพรากจากกันจะมีความลำบากมาก ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นเครื่องมือ ในห้องผ่าตัดเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาผ่าตัดมันต้องผ่าตัด มันต้องทำลายกัน ทีนี้เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่เราจะผ่าตัด เราจะทำลายแผลของเรา เราบอกทำไม่ได้ มันทำไม่ได้ มันเป็นอัตตกิลมถานุโยค แล้วเราสามารถผ่าตัดได้อย่างไร เราไม่สามารถกรีดเนื้อของเราเข้าไปเพื่อจะผ่าตัด ตัดไส้ติ่งออก เราไม่กล้าตัดทิ้ง เราว่าเป็นอัตตกิลมถานุโยค เพราะอะไร

เพราะความคิดของเรา เราไม่เคยเห็นสภาวะแบบนั้นไง สิ่งที่ความเป็นไปของมัน ถึงว่าเวลาเราประพฤติปฏิบัติเข้าไปมันถึงจะมีสภาวะแบบนั้น เวลามันไม่เป็นอัตตกิลมถานุโยค เพียงแต่ว่าเราไม่มีความคุ้นชิน ต้องตื่นตัว เหมือนไก่ป่า ไก่ป่ามันต้องตื่นตัวนะ แล้วไก่ป่า ความเป็นอยู่ของมัน เพราะมันอยู่ตามธรรมชาติของมัน มันหากินของมัน มันถึงอหังการของมัน เวลามันเข้ามาอยู่ในบ้านในเมืองมันไม่ยอมกินอาหารนั้นนะ หัวใจมันอหังการขนาดที่ว่าคนที่ไปเอาไก่ป่ามาเลี้ยงบางตัวมันจะไม่ยอมกินอาหาร มันจะไม่ยอมกินน้ำ อดจนมันตายไปเพราะมันต้องการดำรงชีวิตของมันอยู่ในป่า เห็นไหม มันไม่ต้องการดำรงชีวิตของมันอยู่ในบ้าน

แต่เราไปดูฟาร์มไก่ของเขาสิ ไก่เป็นหมื่นเป็นล้านๆ ตัว มันก็อยู่ของมันตามธรรมชาติอย่างนั้น มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ไง ต้องการความสะดวกสบาย ต้องการสิ่งที่ว่าอำนวยความสะดวก คิดแต่ว่าสิ่งนี้เราขาดแคลน แล้วเราจะหาความสุขของเราด้วยความดำรงชีวิตของเรา ปัจจัย ๔ เครื่องอาศัยนะ ถ้าเราอาศัยสิ่งนี้เป็นเครื่องอาศัยอย่างนั้น แต่เวลาไก่ป่ามันอยู่ในป่า มันไม่กินน่ะ ให้กินมันก็ไม่กิน น้ำ มันก็ไม่กิน ข้าว มันก็ไม่กิน มันอดจนตาย

เพราะเราเห็นมากับตาแล้ว เราอยู่ในป่า แล้วมีโยมเขามาจับไก่ป่าไปเลี้ยงนะ แล้วเขาเอามาปล่อยในป่า เพราะเขามาจับตอนกลางคืน แล้วมันเอาไปครอกหนึ่ง มันอดอาหารจนตายต่อหน้าเขานะ แล้วตัวที่เหลือเขาบอกว่าเอามาคืนมัน เพราะใจเราต่ำกว่ามันนะ ใจเราไม่สามารถจะเอามันไว้ได้ เพราะมันไม่กิน ต้องเอากลับมาปล่อยไว้ในป่า เห็นไหม มันเป็นอย่างนั้นมา แล้วเราเห็นมากับตาเลย สิ่งที่ใจของมันที่สูงกว่า ใจของเราเป็นมนุษย์เรายังอ่อนกว่ามันนะ เรายังต้องเห็นใจมัน เอามันกลับปล่อยไว้ในป่า

นี่เหมือนกัน ในการไม่คุ้นชินกับกิเลส ในการตื่นตัว วัตรปฏิปทาไง เราเห็นทำไมพระต้องทำตัวเคลื่อนไหวกันรวดเร็วขนาดนั้น เพราะถ้าทำอย่างนี้เป็นนิสัยเป็นเคยชินแล้ว เหมือนกับทางโลก โอกาสไง ถ้าใครมีโอกาส คนนั้นจะมีโอกาสได้ทำงาน คนที่ไม่มีโอกาส ปิดโอกาสของเขาเลย จะไม่มีสิ่งใดที่เขาจะได้ประโยชน์จากสิ่งนั้นเลย

นี่ก็เหมือนกัน โอกาสชีวิตของเราเองไง ถ้าเรามีโอกาสชีวิตของเราเอง เราเคลื่อนไหวของเราเอง เพื่อจะให้เราตื่นตัวตลอดเวลา จะไม่ให้สิ่งที่ว่าคุ้นชิน คือความสะดวกสบาย ความมักง่าย ความพอใจของกิเลสที่มันจะเข้ามากลืนหัวใจไง เราทำอย่างนี้ก็ได้ ทำไมเราต้องมาลำบาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแล้วว่าอย่าอัตตกิลมถานุโยค

อัตตกิลมถานุโยคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาลนะเขาทำรุนแรงกว่าเรานี้หลายร้อยเท่านัก ยืนอยู่จนปลวกท่วมถึงเอวนะ ยืนอยู่นะ กำมือไว้จนเล็บทะลุฝ่ามือไปนะ นั่นน่ะอัตตกิลมถานุโยค เพราะมันทนไว้เฉยๆ แต่มันไม่มีความคิด คือสิ่งที่เป็นปัญญาชำระกิเลส สิ่งที่เขาทำกันขนาดนั้นนะ ยืนเท้าเดียว กินอากาศ ยืนอย่างนั้นนะ มนุษย์ทำได้อย่างนั้นจริงๆ นี่อัตตกิลมถานุโยค

แต่ในการมัชฌิมาปฏิปทา วัตรปฏิบัติ การออกบิณฑบาต วัตรในโรงทาน วัตรในโรงฉัน วัตรในกุฎีวัตร วัตรในห้อง นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนหมดนะ แม้แต่การขบการฉัน การกบการฉันไม่ฉันดังจุ๊บๆ ไม่ซดไม่อะไร เพื่ออะไร? เพื่อมารยาท เพื่อความเป็นไปของสังคม สิ่งที่สังคม เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงความเป็นอยู่นะ แม้แต่นอน นอนต้อง ๔ ทุ่มให้นอน ถึงตี ๒ แล้วลุก ก่อนหัวค่ำให้เดินจงกรมก่อน ให้ภาวนาก่อน แล้วนอนพอพักร่างกายเท่านั้น ตี ๔ แล้วให้ลุกขึ้นมาแล้วให้ภาวนาต่อไป เห็นไหม นี่ตื่นตัวตลอด

ถ้าเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กติกาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้นะ แล้วเรายึดนี้เป็นปฏิปทาเครื่องดำเนินนะ เราจะไปไหน หัวใจมันจะไม่พ้นกิเลสไปได้อย่างไร ถ้าเรามีความจงใจแล้วเราทำอยู่ แต่นี่มันไม่ทำไง มันไม่ทำแล้วมันไม่เชื่อ แล้วเห็นคนที่กระทำแล้วว่า “อย่างนี้กิเลสมันหลอกเพราะมันเป็นอัตตกิลมถานุโยค เราบวชแล้ว เราสบายๆ”…อันนี้มันไก่บ้าน มันนอนอยู่ในกรงรอให้เขาเชือดไง เอาไปโรงฆ่าสัตว์มันก็จบใช่ไหม แต่นี่มันรอให้กาลเวลาเชือดไง เพราะเวลาเราต้องตายไป อายุขัยเราต้องหมดไป มันรอให้กิเลสเชือด กิเลสปัดโอกาสของเราออกทั้งหมดเลย เพราะเรานอนใจกับกิเลสไง

แต่ถ้าเราตื่นตัวตลอด เรามีโอกาสจะทำลายกิเลส ถ้าเรามีวาสนา ถ้าเราทำโดยมัชฌิมาปฏิปทา ทำโดยความเป็นจริงของภาวนามยปัญญา เกิดจากการภาวนา นี่ไงทำนอกกรอบอย่างนี้ไง ในเถรวาทเราก็เป็นการประพฤติปฏิบัติ เป็นการคิดใคร่ครวญในการทำชำระกิเลสเหมือนกัน ไม่ใช่ความคิดแบบนั้น นั้นเขาเห็นโลกเป็นใหญ่ไง โลกเป็นใหญ่

เวลาเราเป็นครูบาอาจารย์ เขาสละแม้แต่พรหมจรรย์ของเขายังไม่ได้ เขาสละแม้แต่ครอบครัวของเขายังไม่ได้ แล้วเราทำไมยังไปเชื่อเขาล่ะ ในการก่อสร้าง ในการสิ่งต่างๆ โลกนี้ โลกเขาเจริญมากนะ แม้แต่วิทยาศาสตร์เขาคิดถึงว่าส่งกระสวยอวกาศไปนอกโลกได้ พระทำได้ไหม เว้นไว้แต่พระที่ประพฤติปฏิบัติจนได้สมาบัตินะ มันจะไปไหนเรื่องของมิติมันจะไปได้หมดล่ะ แม้แต่สวรรค์ แม้แต่อินทร์ แต่พรหม มันจะไปได้หมด มันจะรู้ดีกว่าวิทยาศาสตร์มากเลย แต่เฉพาะเป็นบุคคล มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่กระสวยอวกาศถ้าใครมีเทคโนโลยีทำได้หมด

แต่การประพฤติปฏิบัติมันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นใจดวงนั้นถ้ามันเป็นได้จริงนะ ถ้าเป็นไปไม่ได้จริง เป็นมหาโจร เป็นการจำมา เป็นการอวด เป็นการอวดอ้าง สิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์ มันมีแต่ความเพิ่มพูนกิเลสว่าตัวตนใหญ่มาก ตัวตนมีความรู้ แต่ผู้ที่มีธรรม ผู้ที่มีหัวใจเขาพิสูจน์ เขาทดลองนะ แม้แต่หลวงปู่ขาวก็เหาะได้ แม้แต่หลวงปู่แหวนก็เหาะได้ เพราะหลวงปู่เจี๊ยะท่านเคยอยู่แล้วพูดให้ฟังหมด ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขาจะทดสอบว่ามีจริงหรือเปล่า ทำได้จริงหรือเปล่า ทำทดสอบไว้เป็นปัจจัตตังกับใจดวงนั้น สิ่งนี้มันทำได้แล้วมันอยู่ในหัวใจ แล้วมันจะเกรงกลัวกับอะไรล่ะ

ในจักรวาลนี้ ในความเป็นไปของโลกเขาทำอะไรกันได้? เขาทำอะไรกันไม่ได้เลย แล้วใจของเราเป็นผู้ทำได้ทั้งหมด เราเข้าใจเรื่องภาวนามยปัญญาทั้งหมด แล้วเราเข้าใจเรื่องหัวใจทั้งหมด แล้วเราจะไปตื่นเต้นกับโลกได้อย่างไร โลกนี้เป็นเรื่องของความจอมปลอมสมมติชั่วคราว ชั่วคราวเท่านั้น แต่หัวใจเป็นความจริงทั้งหมดแล้วสามารถชำระ

การคิดแบบเถรวาท การคิดแบบตามครูบาอาจารย์ไง เดินตามธรรมวินัย ถ้าหัวใจมีธรรมและวินัยในหัวใจนี้มันจะทำให้เราประเสริฐขึ้นมา เห็นไหม คนถึงต้องยกมือไหว้คนไง คนถึงต้องกราบคนไง เทวดาต้องมาฟังธรรมขององค์หลวงปู่มั่นไง เทวดา อินทร์ พรหม ต้องมาฟังธรรมของหลวงปู่ชอบ ฟังธรรมของหลวงปู่ฝั้นไง ทำไมมาฟังธรรมล่ะ? เพราะเขาเข้าใจเรื่องชีวิตปกติของเขา แต่เขาไม่เข้าใจเรื่องอริยสัจ เขาไม่เข้าใจเรื่องการเคลื่อนไปของปัญญาในหัวใจที่มันเคลื่อนอย่างไร สิ่งที่มันเคลื่อนไป แล้วมันชำระกิเลสอย่างไร เห็นไหม นี่คนถึงต้องไหว้คน คนเพราะอีกคนคนหนึ่งเขาประพฤติปฏิบัติจึงเห็นความเป็นไปของโลก คือธรรมเหนือโลก

ในวงของเถรวาทเราเขาว่าอย่างนั้น เราดูหนังสือเขาว่าอย่างนั้นเลยนะ ว่าวงเถรวาทในการท่องจำเท่านั้น แล้วเป็นการท่องจำไม่เป็นประโยชน์ ไม่เหมือนมหายานที่เขาคิดของเขา คิดของออกไปจากไม่มีการท่องจำ คือเกิดจากปัญญาของเขาไง นั่นเขาคิดของเขา แต่ในเมื่อพระในญี่ปุ่น พระในเมืองจีนเวลามาเมืองไทย ทำไมเขาว่าพวกเรารักษาสิ่งนี้ไว้ได้ล่ะ รักษาธรรมวินัยไว้ได้ ครูบาอาจารย์ประพฤติปฏิบัติได้ แล้วถ้าพูดถึงภาวนา ทำไมฝรั่งมาบวชในเมืองไทยล่ะ ทำไมฝรั่งทำไมไม่ไปบวช ไม่ไปศึกษาในมหายานล่ะ? เพราะเขาเข้าไปศึกษาทางวิทยาศาสตร์แล้วมันพิสูจน์แล้วมันเป็นไปที่ว่าอย่างมากก็เป็นเรื่องของสมาธิ อย่างมากก็เป็นเรื่องของสมถะไง

อย่างทางทิเบต เห็นไหม ตายแล้วเกิดไปไหน ตามแต่ตามลามะไปว่าตายแล้วไปเกิดใหม่ เกิดใหม่ เห็นไหม สิ่งอย่างนี้ มันเหมือนสิ่งที่สมัยฤๅษีชีไพรเขาก็ทำได้ แต่ในเรื่องระลึกอดีตชาติได้ แต่ถ้ามาเถรวาทเรา มันจะเข้าเรื่องของมรรคไง เพราะมันไม่ทิ้งเรื่องของมรรค

“สุภัททะ เธออย่าถามให้มากไปเลย ศาสนาไหนไม่มีมรรค ถ้ามันเข้ามรรคอันนี้ มันจะเข้าถึงผลอันนี้ไง” ฝรั่งเขาศึกษาแล้วเขาถึงมาบวชสายเถรวาทเรามหาศาลเลย ครูบาอาจารย์จะมีพระฝรั่งเกือบทุกวัด มีพระฝรั่งมาศึกษา นี่เพราะเขาพิสูจน์ไง คนที่มีปัญญา คนที่เข้ามาใฝ่หาเขาจะรู้ของเขา

แต่คนที่ไม่เข้ามาทางปัญญา คนที่เข้าถึงทางวัตถุ คนที่เข้าถึงความเจริญของโลก ความเจริญของโลกกับความเจริญของธรรม ความเจริญของความสุขในหัวใจ กับความเจริญของสิ่งที่ว่าเรื่องของโลก แต่หัวใจเร่าร้อนต่างกัน นี้เราต้องใคร่ครวญอย่างนี้ แล้วเราจะไม่ตื่นไปกับความเห็นของเขา เอวัง